การวิเคราะห์รามเกียรติ์ ตอน หนุมานเผากรุงลงกา

 การวิเคราะห์วิจารณ์วรรณคดี

เรื่อง รามเกียรติ์  ตอน  หนุมานเผากรุงลงกา

๑ .ผู้แต่ง: พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช

๒.ที่มา:ต้นเค้าโครงมาจากเรื่อง รามยณะ ที่ฤาษีวาลมิกิ ชาวอินเดีย แต่งขึ้นเป็นภาษาสันกฤต

๓.เนื้อเรื่องย่อ: หนุมานเมื่อทูลลานางสีดาแล้ว คิดว่าเมื่อเข้ามาเหยียบกรุงลงกาแล้ว ก็ควรจะได้ลองฤทธิ์กับเหล่ายักษ์ดูบ้าง จึงแผลงฤทธิ์ หักต้นไม้ในสวน สหัสกุมารเข้าต่อสู้ ถูกหนุมานฆ่าตาย ทศกัณฐ์ รู้ข่าว จึงให้อินทชิตไปฆ่าหนุมาน อินทรชิตพบหนุมานต่อสู้กัน หนุมานแกล้งทำเป็นแพ้

อินทรชิตจึงให้ไพร่พลยักษ์เอาโซ่เหล็กมัดหนุมาน แล้วพาไปหาทศกัณฐ์  หนุมานได้สบัดโซ่ขาด เข้าต่อสู้กับไพร่พลยักษ์อีก แล้วแกล้งทำเป็นอ่อนแรง บอกทศกัณฐ์ ว่าให้ฆ่าตนให้ตายจะได้ไม่ทรมาน

  ทศกัณฐ์ ไม่รู้วิธีฆ่าหนุมาน จึงบอกให้ใช้ไฟฆ่าตน ทศกัณฐ์ จึงให้เอาเชื้อไฟมาพันรอบตัวของหนุมานแล้วจุดไฟด้วยหอกแก้วสุรกานต์หนุมานจึงกระโจนไปในปราสาท ใช้ไฟที่ลุกติดร่างกายอยู่ เที่ยวจุดไฟเผาไปทั่ว ทศกัณฐ์ จึงรู้ว่าตนเสียรู้หนุมาน และไฟที่เกิดจากหอกไม่อาจดับได้ จึงต้องพาไพร่พลไปอยู่ที่ภูเขาสัตนา ส่วนหนุมานไม่สามารถดับไฟที่หางของตนได้ จึงไปพบฤาษีนารทเพื่อให้ช่วยดับ ฤาษีให้เอาหางมาอมใช้น้ำลายดับ จึงสามารถดับไฟได้

ฝ่ายทศกัณฐ์ ได้ให้เสนายักษ์ไปอัญเชิญพระอินทร์ และเหล่าเทวดา ลงมาสร้างเมืองให้ตนใหม่ฝ่ายสามทหารของพระรามที่ไปสืบเรื่องนางสีดา ได้ยกทัพกลับยังภูเขาคันธมาทน์ แล้วหนุมานได้เล่าเรื่องให้พระรามฟัง พระรามโกรธที่หนุมานทำเกินเหตุ โดยไปเผากรุงลงกา จึงจะลงโทษประหารชีวิต ไพร่พลวานรได้ขอว่า ควรจะยกเว้นโทษให้ครั้งหนึ่ง พระรามจึงยกโทษให้

ชมพูพานได้ทูลพระรามว่า ควรจะยกทัพไปยังเชิงเขาคันธกาลา ริมฝั่งมหาสมุทร ตรงข้ามเกาะลงกา พระรามเห็นด้วยส่วนทศกัณฐ์ หลังจากที่สร้างเมืองใหม่แล้ว ก็คิดถึงแต่นางสีดา วันหนึ่งได้ฝันไปว่า มีพระยาแร้งขาวบินมาจากทิศตะวันออกถึงหน้าพระลาน แร้งสีดำบินจากทิศตะวันตก เกิดตีกัน แร้งดำตายกลายเป็นยักษ์


มีหญิงหนึ่งวิ่งมาจุดไฟ จนน้ำมันแห้งไส้มอด แต่ไฟกลับลุกไหม้กะลาลามมายังมือ มีพิษร้อนไปทั่วร่างกาย จึงขอให้พิเภกทำนายฝัน พิเภกทำนายว่า กะลาได้แก่กรุงลงกา เชื้อไส้ได้แก่ทศกัณฐ์ น้ำมันคือพระญาติพระวงศ์ เพลิงได้แก่นางสีดา หญิงที่จุดไฟคือนางสำมนักขา แร้งขาวคือพระราม แร้งดำคือทศกัณฐ์ และทศกัณฐ์ จะได้รบกับพระราม กรุงลงกาจะเดือดร้อนไปทั่ว ทศกัณฐ์ ได้ฟังก็กลัวว่าจะตายก่อนที่จะได้นางสีดาเป็นเมีย จึงให้พิเภกช่วยสะเดาะเคราะห์ให้ พิเภกจึงให้ทศกัณฐ์ ตั้งมั่นอยู่ในศีลในสัตย์ และควรจะส่งนางสีดาคืนพระราม    ทศกัณฐ์ โกรธมาก จึงขับไล่พิเภกออกจากลงกา

๔.การวิเคราะห์รูปแบบ

๔.๑.รูปแบบคำประพันธ์ : กลอนบทละคร

๔.๒.รูปแบบการดำเนินเรื่อง: เป็นใช้การเจรจาของตัวละครเป็นตัวเล่าเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมา

๔.๓.โครงเรื่อง : เป็นความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับความขัดแย้งภายในใจของตัวละครเอง

๔.๔.ตัวละคร: ๑. ทศกัณฐ์:คือยักษ์นนทกกลับชาติมาเกิด ร่างกายเป็นยักษ์ มี ๑๐ หน้า ๒๐ มือ มีสีกายเป็นสีเขียว ฆ่าไม่ตาย มีนิสัยเจ้าชู้  รักลูก  รักพวกพ้อง  แต่ไม่คำนึงถึงความผิดถูก  พาพวกพ้องมาสู้รบในเรื่องไม่เป็นเรื่องจนกระทั่งหมดวงศ์วาร

๒.อินทรชิต: เป็นยักษ์มีกายสีเขียว มีฤทธิ์ เก่งกล้า เป็นโอรสของทศกัณฐ์กับนางมณโฑ

๓.หนุมาน: เป็นลิงเผือก(กายสีขาว) มีลักษณะพิเศษ คือ มีเขี้ยวแก้วอยู่กลางเพดานปาก มีกุณฑลขนเพชร สามารถแผลงฤทธิ์ให้มีสี่หน้าแปดมือ และหาวเป็นดาวเป็นเดือนได้ เป็นทหารเอกที่รู้ใจพระรามที่สุด  ฉลาดรอบรู้  ค่อนข้างหัวดื้อ

๔.๕.ฉาก : ณ กรุงลงกา ซึ่งมีทศกัณฐ์เป็นกษัตริย์

๔.๖.กลวิธีการแต่ง: เป็นการบรรยายเรื่องที่ผ่านมาเป็นระยะด้วยการเล่าเรื่องย้อนหลัง โดยการใช้การเจรจาของตัวละครเป็นการเล่าเหตุการณ์

๕.การใช้ภาษา : เป็นเลือกใช้คำที่เหมาะสมกับเหตุการณ์ต่างๆในเรื่อราวงรวมไปถึงอารมณ์และ ความรู้สึกของตัวละคร โดยการใช้คำเปรียบเทียบอุปมาอุปไมย  ซ้ำคำ เล่นคำ สัมผัสอักษะ

เพื่อเกิดโวหารและความหมายต่างๆ เป็นต้น

๖.รสวรรณคดี

๖.๑. พิโรธวาทัง (บทตัดพ้อ) คือการกล่าวอารมณ์ไม่พอใจ ตั้งเเต่เรื่องเล็กน้อยไปจนถึงเรื่องใหญ่ ตั้งเเต่ไม่พอใจ โกรธ ตัดพ้อ ประชดประชัน กระทบกระเทียบเปรียบเปรย เสียดสีเเละด่าว่าอย่างรุนเเรง

บทตัดพ้อที่ผู้มีอำนาจย่อมแสดงความโกรธได้มากกว่าบุคคลทั่วไป เช่น ทศกัณฐ์โกรธหนุมาน

        ได้ฟังดังเอาอัคคี                      เข้ามาจุดจี้กายา

 สิบปากตวาดผาดร้อง                       กึกก้องนิเวศน์ยักษา

 ความโกรธของพระราม เช่น

        กระทืบบาทมีราชบรรหาร           ดูดู๋หนุมานชาญสมร

 กูใช้ให้ขุนวานร                             ไปสืบข่าวบังอรแต่เท่านี้

  ..............................................

       ถ้ามันโกรธาฆ่าฟัน                    สุดสิ้นชีวันวายปราณ

 ตัวกูผู้จะสงครามยักษ์                      แม้นเสียเมียรักยอดสงสาร

 ก็จะซ้ำแสนทุกข์ทรมาน                   เอ็งจะคิดอ่านประการใด

๗.คุณค่า

๗.๑.ด้านภาษา :  การใช้คำเปรียบเทียบและอุปมาอุปไมยที่กินใจ มีการเล่นสัมผัสอักษะ มีการเล่นคำ ทำให้เกิดความหมายและเกิดโวหารต่างๆ   มีการเลือกใช้คำได้เหมาะสมกับเหตุการณ์ อารมณ์และความรู้สึกของตัวละคร เช่น

           เมื่อนั้น                             อินทรชิตสิทธิศักดิ์ยักษา

 ไดัฟังวานรเจรจา                           โกรธาดั่งไฟบรรลัยกัลป์

 ขบเขี้ยวเคี้ยวกรามกระทืบบาท           ร้องตวาดผาดเสียงดังฟ้าลั่น

 เหม่อ้ายลิงไพรใจฉกรรจ์                   กูจะหั่นให้ยับลงกับกร

 หรือตอนที่พระรามครำครวญถึงนางสีดา เป็นการแสดงความรักความอาลัยและความห่วงใย กวีใช้ถ้อยคำที่ละเมียดละไม สละสลวย ทำให้เกิดอารมณ์เศร้าคล้อยตามไปด้วย เช่น

          โอ้ว่าป่านนี้เจ้าดวงเนตร          จะแสนเทวษปิ้มชีพอาสัญ

 ไม่เคยเห็นหมู่กุมภัณฑ์                     ขวัญเมืองของพี่จะตกใจ

 จะร้องกรีดหวีดหวาดผู้เดียว                เปล่าเปลี่ยวจิตโหไห้

 คอยพี่ไม่เห็นตามไป                        จะแสนโศกาลัยทุกเวลา

 นอกจากนี้ยังมีการซ้ำคำให้เกิดเสียงเสนาะและเน้นความหมายให้หนักแน่นขึ้น  มีการบรรยายให้เห็นการเคลื่อนไหวไปตามบทบาทของตัวละคร เช่นมีฤทธิ์เก่งกล้ามาก เมื่อโตขึ้นจึงทูลลาพระบิดาและ

           ตัวข้าผู้เป็นราชมัล                ไม่อาจฆ่าฟันมันได้

 สุดฤทธิ์สุดคิดสุดใจ                         ภูวไนยจงโปรดปรานี

   ...................

  มือขวาเงื้อง่าจะชิงศร                      กรซ้ายกุมเศียรยักษี

 หันเวียนเปลี่ยนท่าวารี                      ต่างรับต่างตีกันไปมา

๗.๒.ด้านวรรณศิลป์

  ๑.การบรรยายฉาก เหตุการณ์ และตัวละคร พรรณาได้อย่างละเอียด ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นฉากภูมิประเทศ ขบวนทัพ การรบ ภาพบ้านเมือง การแต่งตัวและการกระทำหรือพฤติกรรมของตัวละคร ตลอดจนเหตุการณ์ต่างๆ เช่น

           เท้าซ้ายเหยียบเข่า                กระบี่ศรี มือขวาอสุรีเงื้อศร

 กลอกกลับพัลวันประจัญกร                  ต่างมีฤทธิรอนไม่ลดกันฯ

    ๒. การเสนอเรื่อง เป็นการบรรยายเรื่องเพื่อให้ผู้อ่านได้ติดตามเรื่องที่ผ่านมาเป็นระยะด้วยการเล่าเรื่องย้อนหลัง โดยการใช้การเจรจาของตัวละครเป็นการเล่าเหตุการณ์ เช่นตอนหนุมานกราบทูลพระรามเรื่องที่ตนได้ไปเฝ้านางสีดาให้พระรามทรงทราบว่า

           ตัวข้าผู้เดียวลอบไป  แอบอยู่ในสวนยักษา

 พอทศกัณฐ์มันออกมา                        เจรจาไหว้วอนพระเทวี

 นางไม่ม่จิตประดิพัทธ์                         เคืองขัดด่าว่ายักษี

 ครั้งมันคืนเข้าธานี                              เทวีผูกศอจะวายปราณ

 ข้าบาทวิ่งไปแก้ลง                            ถวายผ้าธำรงค์แล้วแจ้งสาร

 ขุนกระบี่ทูลสิ้นทุกประการ                    จนเผาราชฐานลงกา

  ๓.การชมธรรมชาติ ชมรถ ชมพาหนะ  มีการใช้ถ้อยคำบรรยายได้อย่างเห็นภาพทำให้ผู้อ่านเห็นคล้อยตามกวีไปด้วย  เช่น

            สองกษัตริย์ชำระสระสนาน        ในท้องธานแทบเชิงคีรีศรี

 น้ำใสเย็นซาบอินทรีย์                         ดังนทีในสีทันดร

 พื้นทรายพรายแสงเนาวรัตน์                  เลื่อมจำรัสประภัสสร

 ปทุมมาลย์ชูก้านอรชร                        ฝักแก่ฝักอ่อนแกมกัน

 บ้างพึ่งผุดพ้นชลธี                             บ้างเบ่งบานรับแสงสุริย์ฉัน

 แมลงภู่วู่ว่อนเวียนวัน                         เชยซาบสุคันธมาลีฯ

  ๔.การสร้างลัษณะของตัวละคร  กวีจะสร้างตัวละครให้เป็นจริงเป็นจัง มีเลือดเนื้อและอารมณ์ มีอุปนิสัยใจคอและบุคลิคภาพสมจริง ทำให้ผู้อ่านเกิดความรัก ความเกลียด ความสงสารและเห็นอกเห็นใจตัวละคร เช่น ความฉลาดและมีไหวพริบของหนุมาน เมื่อพระนารทฤาษีแนะให้ใช้น้ำบ่อน้อยดับไฟที่หาง โดยบอกเป็นปริศนาว่า "น้ำในบ่อน้อยจะไว้ไย   เหตุใดไม่ดับอัคคี" หนุมานได้ฟังก็คิดได้ดังที





ความคิดเห็น